‘Cyberpunk 2077’ ภาคต่อมาแน่! 5 สิ่งที่แฟนๆ รอลุ้นจนแทบขาดใจ: บทวิเคราะห์เชิงลึก ‘Project Orion’

หลังจากมหากาพย์การไถ่บาปที่น่าทึ่งของ Cyberpunk 2077 ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเปิดตัวที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องในปี 2020 ก่อนจะพลิกฟื้นกลับมาเป็นหนึ่งในเกม Open-World RPG ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งยุคด้วยอัปเดต 2.0 และส่วนเสริม Phantom Liberty ค่ายเกมยักษ์ใหญ่อย่าง CD Projekt RED (CDPR) ก็ได้ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า ภาคต่อกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา ภายใต้ชื่อรหัสว่า ‘Project Orion’

การประกาศนี้สร้างความตื่นเต้นอย่างล้นหลาม แต่ก็มาพร้อมกับความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วจากเหล่าเกมเมอร์ทั่วโลกที่ติดตามการเดินทางของ Night City มาอย่างยาวนาน แม้ตัวเกมจะยังอยู่ในช่วง Pre-Production หรือการเตรียมงานสร้างในระยะแรกเท่านั้น โดยมีทีมพัฒนาชุดใหม่ตั้งอยู่ในเมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา (อ้างอิง: Beartai, GamingDose) แต่การคาดการณ์ถึงทิศทางที่ CDPR จะนำพาจักรวาลไซเบอร์พังค์ไปต่อ ถือเป็นประเด็นร้อนที่ถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง

บทความเชิงลึกนี้ จะพาคุณไปสำรวจ 5 สิ่งที่แฟนๆ ‘Cyberpunk 2077’ รอลุ้นจนแทบขาดใจ ว่า Project Orion จะนำเสนออะไรที่เหนือกว่าและสมบูรณ์แบบยิ่งกว่าสิ่งที่ V และ Johnny Silverhand เคยสร้างไว้ใน Night City

สถิติและการไถ่บาป: ทำไม Project Orion ถึงมีความหวัง? (H2 – สถิติความสำเร็จและการกู้คืนความเชื่อมั่น)

ก่อนจะเจาะลึกสิ่งที่คาดหวัง เราต้องเข้าใจถึงความสำเร็จล่าสุดของเกมหลักก่อน ข้อมูลทางสถิติยืนยันว่า CDPR สามารถกอบกู้สถานการณ์และดึงดูดผู้เล่นกลับมาได้อย่างน่าทึ่ง:

  • ยอดขายทะลุ 30 ล้านชุด: ณ เดือนพฤษภาคม 2025 (ประมาณ) Cyberpunk 2077 ทำยอดขายรวมไปได้มากกว่า 30 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยืนยันถึงความสำเร็จทางการค้าหลังการแก้ไขปัญหาและปล่อยส่วนเสริม (อ้างอิง: GamingDose, Thisisgame Thailand)
  • Phantom Liberty ทุบสถิติ: ส่วนเสริม Phantom Liberty มียอดขายสูงถึง 10 ล้านชุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่กลับคืนมาของผู้เล่นต่อคอนเทนต์คุณภาพจาก CDPR (อ้างอิง: GamingDose)
  • การฟื้นคืนชีพในตลาด: หลังการปล่อยอัปเดต 2.0 และ Phantom Liberty เกมได้กลับมาติด 10 อันดับเกมขายดีในตลาดหลักๆ เช่น สหราชอาณาจักร โดยเฉพาะยอดขายแบบแผ่นที่พุ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (อ้างอิง: AppDisqus)

ตัวเลขเหล่านี้คือสัญญาณที่ชัดเจนว่า CDPR ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดในการเปิดตัว และ Project Orion ถูกคาดหวังให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์แบบตั้งแต่แรกเริ่ม (Day One Quality) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการกู้คืนหลักการ E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness) ในสายตาของเกมเมอร์และอุตสาหกรรมเกม

[ตำแหน่งรูปภาพประกอบ 1]

5 สิ่งที่แฟนๆ รอลุ้นใน ‘Project Orion’ (H2 – แกนหลักของบทความ)

แม้จะมีการปรับปรุงเกมเพลย์อย่างมหาศาลในอัปเดต 2.0 แต่ผู้เล่นยังคงมีพื้นที่ที่ต้องการให้ภาคต่อเติมเต็มช่องว่างที่ยังคงเหลืออยู่ ความคาดหวังหลักสามารถสรุปได้เป็น 5 ประเด็นสำคัญดังนี้:

1. โลกที่ ‘มีชีวิต’ และปฏิสัมพันธ์ของ NPC ที่เหนือกว่า (H3 – การปรับปรุง Open-World และ AI)

Night City เป็นเมืองที่สวยงามตระการตาและเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมล้ำยุค แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดประการหนึ่งที่ผู้เล่นหลายคนประสบคือ “ความตื้นเขิน” ของปฏิกิริยาของ NPC ซึ่งไม่ได้ “มีชีวิต” และตอบสนองต่อการกระทำของผู้เล่นอย่างเป็นธรรมชาติเท่าที่ควร

ความคาดหวังใน Project Orion:

  • ระบบฝูงชน (Crowd System) ที่สมจริงที่สุด: มีรายงานการรับสมัครงานของ CDPR ที่ระบุถึงการมองหา “Lead Encounter Designer” ที่จะมารับผิดชอบการออกแบบและพัฒนาระบบฝูงชนที่ “สมจริงและตอบสนองต่อผู้เล่น” มากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวิดีโอเกม (อ้างอิง: GamingDose)
  • ตารางเวลาและกิจวัตรของ NPC: แฟนๆ ต้องการเห็น NPC ที่มีตารางเวลาเดินไปทำงาน, พักผ่อน, เข้าบาร์, หรือมีการต่อสู้ของแก๊งตามท้องถนนอย่างอิสระ ไม่ใช่แค่ปรากฏตัวและหายไปเมื่อผู้เล่นหันหลังให้
  • ปฏิสัมพันธ์แบบสุ่มที่ซับซ้อน: เหตุการณ์แบบสุ่ม (Random Encounters) ที่ซับซ้อนและนำไปสู่เควสย่อยที่น่าสนใจได้ เช่น การเข้าช่วยเหลือพลเรือนที่ถูกปล้น หรือการเป็นพยานในอาชญากรรมที่ผู้เล่นสามารถเลือกแทรกแซงหรือไม่ก็ได้

2. การเชื่อมโยงเรื่องราวและผลลัพธ์ของ V (H3 – ปัญหาทางด้าน Narrative และตัวเอก)

คำถามที่ใหญ่ที่สุดทางด้านเนื้อเรื่องคือ Project Orion จะจัดการกับตอนจบที่หลากหลายและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของ Cyberpunk 2077 อย่างไร? การมีตอนจบหลักถึงสี่แบบ (The Sun, The Star, The Devil, The Temperance) และทางเลือกใหม่จาก Phantom Liberty (The Tower) ทำให้การนำ V กลับมาเป็นตัวเอกหลักต่อเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก

แนวทางที่เป็นไปได้ (และสิ่งที่แฟนๆ รอลุ้น):

  1. ตัวเอกใหม่ทั้งหมด: นี่คือแนวทางที่ปลอดภัยที่สุด CDPR อาจเลือกตัวเอก (Protagonist) คนใหม่ในเมืองใหม่ (มีข่าวลือว่าได้รับแรงบันดาลใจจากชิคาโก) (อ้างอิง: GamingDose) หรือใน Night City แต่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลายปีให้หลัง (Time Skip) โดย V กลายเป็นเพียงตำนานหรือตัวละครรองที่ถูกกล่าวถึง ซึ่งเป็นวิธีที่หลีกเลี่ยงการทำให้ตอนจบของผู้เล่นคนใดคนหนึ่งเป็น ‘Canon’
  2. การนำเข้าไฟล์เซฟที่ส่งผลต่อโลก: แฟนๆ ที่ผูกพันกับ V หวังว่าจะมีกลไกคล้าย Mass Effect ที่ให้ผู้เล่นนำเข้าไฟล์เซฟ และการตัดสินใจในเกมก่อนหน้าจะส่งผลกระทบต่อสถานะของโลกหรือการอ้างอิงถึง V ในภาคต่อ
  3. โหมดมุมมองบุคคลที่สาม (Third-Person): แม้ CDPR ยืนยันว่ามุมมอง First-Person เป็นหัวใจสำคัญของการดื่มด่ำ (Immersion) ในโลก Cyberpunk แต่ผู้เล่นจำนวนมากยังคงเรียกร้องตัวเลือก Third-Person เพื่อลดอาการ Motion Sickness และเพื่อชื่นชมการปรับแต่งตัวละคร (Cyberware) ของตนเองได้เต็มที่มากขึ้น (อ้างอิง: Thisisgame Thailand)

3. การปฏิรูปและเพิ่มความลึกของ Lifepaths (H3 – ระบบ RPG ที่มีผลกระทบแท้จริง)

ระบบ Lifepaths (Nomad, Streetkid, Corpo) ในเกมแรกถูกวิจารณ์ว่ามีผลกระทบต่อเนื้อเรื่องหลักเพียงเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นตัวเลือกบทพูดเพิ่มเติมเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ความคาดหวังใน Project Orion:

  • ฉากเริ่มต้นและเควสหลักที่แตกต่างกันอย่างมาก: ผู้เล่นคาดหวังว่าการเลือก Lifepaths จะนำไปสู่ฉากเปิดตัวที่ยาวนานขึ้น และมีการดำเนินเควสหลักในช่วงต้นที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
  • ผลกระทบตลอดเกม: ตัวเลือกบทพูดที่มาจาก Lifepaths ควรส่งผลต่อความสำเร็จ/ล้มเหลวของภารกิจ หรือปลดล็อกเส้นทางเฉพาะของภารกิจนั้นๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าในการเล่นซ้ำ (Replayability)
  • ปฏิสัมพันธ์กับ Faction: หากเป็น Corpo อาจมีเส้นทางภารกิจลับกับ Arasaka หากเป็น Nomad อาจมีเส้นทางเควสพิเศษที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางนอกเมือง หรือ Streetkid ที่สามารถเข้าถึงเครือข่ายใต้ดินได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

4. ความเป็นไปได้ของระบบ Multiplayer และ Co-op (H3 – โหมดการเล่นที่ขยายขอบเขต)

เดิมที CDPR มีแผนที่จะพัฒนาโหมด Multiplayer แยกสำหรับ Cyberpunk 2077 แต่ก็ถูกยกเลิกไปเพื่อมุ่งเน้นการปรับปรุงเกมหลัก แฟนๆ คาดหวังว่า Project Orion อาจนำแนวคิดนี้กลับมาในรูปแบบที่เหมาะสม

รูปแบบที่คาดหวัง:

  • โหมด Co-op ในโลกเปิด: การอนุญาตให้ผู้เล่น 2-4 คนสามารถสำรวจโลก Night City (หรือเมืองใหม่) ร่วมกัน ทำเควสย่อย, Car Gigs, หรือต่อสู้กับแก๊งในแบบ Co-op ที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกหลัก
  • ส่วนของ Multiplayer ที่เป็นอิสระ: หากไม่ใช่ Co-op ในเรื่องราวหลัก ก็อาจเป็นส่วน Multiplayer ที่แยกออกมาโดยเฉพาะ ซึ่งผู้เล่นสามารถสร้างตัวละคร Mercenary ของตนเองและรับภารกิจในโลกเดียวกัน (คล้าย GTA Online)
  • การปรับแต่ง Cyberware ที่ลึกซึ้ง: ระบบ Cyberware ควรได้รับการปรับปรุงให้ซับซ้อนและหลากหลายกว่าเดิม สามารถปรับแต่งแขนขาและอุปกรณ์ได้มากกว่าแค่การติดปืนเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เล่นส่วนใหญ่เรียกร้องอย่างมาก (อ้างอิง: Reddit)

[ตำแหน่งรูปภาพประกอบ 2]

5. การขยายขอบเขตสู่จักรวาลที่กว้างขึ้น (H3 – เมืองใหม่และสเกลที่ยิ่งใหญ่)

Night City เป็นฉากหลังที่ยอดเยี่ยม แต่จักรวาล Cyberpunk 2020/Red มีโลกที่กว้างใหญ่กว่านั้นมาก และมีรายงานว่าคนเขียนบทได้ระบุว่า ภาคต่อไม่จำเป็นต้องอยู่ใน Night City เท่านั้น (อ้างอิง: Sanook.com)

สิ่งที่ Project Orion อาจนำเสนอ:

  • เมืองใหม่/พื้นที่ใหม่: การสำรวจเมืองอื่นๆ ใน New United States of America (NUSA) เช่น เมืองใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชิคาโก ซึ่งจะนำเสนอวัฒนธรรมไซเบอร์พังค์ที่แตกต่างออกไปจาก Night City ของแคลิฟอร์เนีย
  • ยานพาหนะและการบิน: แม้ว่าจะมีรถบิน (AVs) ในเกมแรก แต่ผู้เล่นควบคุมไม่ได้ การเพิ่มความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะทางอากาศ หรืออย่างน้อยก็การมีระบบขนส่งมวลชนที่ใช้งานได้จริง จะช่วยเพิ่มความรู้สึกของสเกลโลกให้ใหญ่ขึ้น
  • อาวุธและ Mods ที่สร้างสรรค์: การเพิ่มตัวเลือกในการอัพเกรดอาวุธให้เป็นระดับ Iconic หรือสามารถสร้าง Mod ที่ส่งผลต่อสถิติและรูปลักษณ์ได้เอง ซึ่งจะตอบโจทย์ผู้เล่นสาย RPG ที่ชอบการปรับแต่ง (Customization) ที่ละเอียดลึกซึ้ง

บทสรุป: ความคาดหวังต่อยุคใหม่ของ CDPR (H2 – สรุปและทิ้งท้าย)

Project Orion ไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาคต่อของเกมเท่านั้น แต่เป็นบททดสอบครั้งสำคัญของ CD Projekt RED ในการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในคุณภาพและคำสัญญาที่ให้กับแฟนๆ การที่สตูดิโอย้ายไปใช้ Unreal Engine 5 แทน REDengine เดิม (ตามข้อมูลจาก Reddit) ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการสร้างรากฐานเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

ความคาดหวังของแฟนๆ นั้นชัดเจน: พวกเขาต้องการโลก Open-World ที่สมจริงจนรู้สึกได้ถึงชีพจรของมัน, ระบบ RPG ที่การตัดสินใจของผู้เล่นมีความหมายอย่างแท้จริงตั้งแต่ต้นจนจบ, และเหนือสิ่งอื่นใด, พวกเขาต้องการการเปิดตัวเกมที่ราบรื่นและมีคุณภาพสูงตั้งแต่ Day One

หาก Project Orion สามารถผสานเรื่องราวอันเข้มข้นสไตล์ CDPR เข้ากับระบบโลกที่ตอบสนอง (Responsive World) และการเล่นที่หลากหลายตามความคาดหวังเหล่านี้ได้สำเร็จ ภาคต่อของ Cyberpunk 2077 ก็จะเป็นมากกว่าแค่ “เกม” แต่จะเป็น “ประสบการณ์” ที่จะนิยามมาตรฐานใหม่ให้กับวงการเกม RPG แห่งอนาคตได้อย่างแท้จริง

**หมายเหตุ:** การพัฒนาเกมขนาดใหญ่อย่าง Project Orion มักใช้เวลา 4-5 ปีเป็นอย่างต่ำหลังช่วง Pre-Production ดังนั้นแฟนๆ ควรเตรียมตัวรอคอยอย่างใจเย็น และติดตามข่าวสารอย่างเป็นทางการต่อไป


 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *