ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารมากขึ้น

ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบและการแข่งขันสูง “โรคกระเพาะอาหาร” กลับกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนวัยทำงานและวัยรุ่นมากขึ้นกว่าเดิม สาเหตุไม่ได้มาจากอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตและภาวะเครียดที่สะสมโดยไม่รู้ตัว หลายคนอาจคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่หากปล่อยไว้นาน โรคกระเพาะอาหารอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก

     โรคกระเพาะอาหารคืออะไร

โรคกระเพาะอาหารเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งอาจเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง สาเหตุหลักมักเกิดจากกรดในกระเพาะอาหารที่มากเกินไป จนทำให้เยื่อบุกระเพาะถูกกัดกร่อน ผู้ที่ป่วยจะมีอาการปวดแสบท้อง ท้องอืด คลื่นไส้ หรือรู้สึกแน่นบริเวณลิ้นปี่ โดยเฉพาะเมื่อท้องว่าง

     พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เป็นต้นเหตุ

  • กินอาหารไม่เป็นเวลา – คนรุ่นใหม่จำนวนมากต้องทำงานแข่งกับเวลา บางคนกินข้าวไม่ครบมื้อ หรือกินตอนดึก ซึ่งทำให้กรดในกระเพาะหลั่งโดยไม่มีอาหารให้ย่อย ส่งผลให้เยื่อบุกระเพาะอักเสบได้ง่าย
  • บริโภคอาหารรสจัดและเครื่องดื่มกระตุ้นกรด – ชา กาแฟ น้ำอัดลม และอาหารรสจัด ล้วนกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะ ทำให้เกิดอาการระคายเคือง
  • ความเครียดสะสม – ความเครียดจากการทำงานหรือการเรียน ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น นำไปสู่อาการปวดท้องโดยไม่รู้ตัว
  • พฤติกรรมนั่งทำงานนาน – การนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานโดยไม่ขยับร่างกาย ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง และเกิดอาการแน่นท้องได้บ่อย
  • การนอนดึกและพักผ่อนไม่เพียงพอ – เมื่อร่างกายไม่ได้พักเต็มที่ ระบบต่าง ๆ จะทำงานผิดปกติ รวมถึงการย่อยอาหารด้วย

    ผลกระทบของโรคกระเพาะอาหารต่อชีวิตประจำวัน

แม้จะดูเหมือนโรคทั่วไป แต่โรคกระเพาะอาหารสามารถส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างมาก เช่น

  • ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เพราะอาการปวดท้องและไม่สบายตัว
  • เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เนื่องจากกลัวการกินจะทำให้ปวดมากขึ้น
  • อารมณ์แปรปรวนและนอนไม่หลับ เพราะอาการเจ็บหรือแสบท้องมักเกิดตอนกลางคืน
  • เสี่ยงโรคแทรกซ้อน หากปล่อยไว้ อาจพัฒนาเป็นแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกภายใน

    วิธีป้องกันและดูแลตัวเองให้ห่างจากโรคกระเพาะอาหาร

  • กินอาหารให้ตรงเวลา พยายามกินให้ครบสามมื้อ และหลีกเลี่ยงการปล่อยให้ท้องว่างนานเกินไป
  • หลีกเลี่ยงอาหารกระตุ้นกรด เช่น ของทอด ของเปรี้ยวจัด เผ็ดจัด หรือกาแฟที่เข้มเกินไป
  • พักผ่อนให้เพียงพอ การนอนอย่างน้อยวันละ 6–8 ชั่วโมงช่วยให้ระบบร่างกายทำงานสมดุล
  • จัดการความเครียด หาเวลาผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกาย เดินเล่น หรือฟังเพลง เพื่อช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะ
  • ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาไปสู่ภาวะรุนแรง

    เมื่อควรไปพบแพทย์

    หากมีอาการปวดท้องรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน หรือถ่ายดำ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของแผลในกระเพาะอาหารหรือการอักเสบรุนแรง นอกจากนี้ หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1–2 สัปดาห์หลังปรับพฤติกรรม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจเพิ่มเติมและรับยารักษาอย่างเหมาะสม

โรคกระเพาะอาหารไม่ใช่เรื่องไกลตัว โดยเฉพาะในยุคที่คนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตเร่งรีบและเต็มไปด้วยความเครียด การกินไม่เป็นเวลา ดื่มกาแฟมาก และพักผ่อนน้อย ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ได้ง่าย หากละเลยอาการปวดท้องหรือแน่นท้องเล็กน้อยไปนาน ๆ อาจนำไปสู่โรคเรื้อรังที่ยากต่อการรักษาได้ในภายหลัง การดูแลตัวเองเริ่มได้จากเรื่องง่าย ๆ เช่น กินให้ตรงเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการความเครียดให้ดี เมื่อร่างกายแข็งแรง ระบบย่อยอาหารก็จะกลับมาทำงานสมดุล ช่วยให้ชีวิตประจำวันของคุณราบรื่นและมีพลังมากขึ้น

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *